Green Report | Green Network

Green Network — Tue, 02 Apr 2024 09:10:04 +0000

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงา�?(สน�?) โด�?วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟ�?ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สน�?) นำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู�?กฟ�? เขื่อนศรีนครินทร์ (ราชานุรักษ�? จังหวัดกาญจนบุรี โดยได้รับเก��ยรติจากชาญณรงค�?จันทมงคล ผู้อำนวยการเขื่อนศรีนครินทร์ (อข�?) และคณะ ให้การต้อนรั�?พร้อมพาชมบ้านครินทร์ บ้านพักประหยัดพลังงา�?และโรงไฟฟ้าพลังงานน้�?/strong>

วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟ�?/strong> ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สน�?) กล่าวว่า สน�? ได้นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ และคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไท�?(กฟ�?) �?จังหวัด��าญจนบุรี 3 แห่ง ได้แก่ 1.ศูนย์การเรียนรู�?กฟ�? เขื่อนศรีนครินทร์ (ราชานุรักษ�? ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู�?กฟ�? ที่ได้แรงบันดาลใจจากพระราชปณิธานงานอนุรักษ์ทรัพยากรขอ��พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้�?กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานของประเทศไทยและของโลก

2. บ้านครินทร�?(KARIN) ต้นแบบนวัตกรรมบ้านประหยัดพลังงานแห่งอนาคตจากแนวคิด Livable Showroom ที่รวบรวมเทคโนโลยีนวัตกรรมพลังงานที่ทันสมัยและบริการพลังงานสีเขียวแบบครบวงจร (Smart Energy Solutions) เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดและการบริหารจัดการพลังงานผ่านประสบการณ์จริ�?ตอบโจทย์ความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมุ่งสู่เป้าหมา�?Carbon Neutrality ของประเทศ แล�?3. โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ เขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่มีการใช้งานมาแล้วไม่น้อยกว่า 30 ปี และยังใช้ประโยชน์อยู่ในปัจจุบั�?โดยโรงไฟฟ้าเขื่อนศรีนครินทร์อยู่ในระหว่างปรับปรุ�?เพื่อ เตรียมติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบให้ทันสมัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังเตรียมความพร้อมปรับเปลี่ยนไปสู่โรงไฟฟ้าดิจิทัล (Digital Power Plant) อีกด้ว�?/p>

“จากการเยี่ยมชมสถานที่ต่าง�?ขอ�?กฟ�? เห็นว่า กฟ�? ได้ปรับตัวเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตอบโจทย์คาร์บอนเป็นศูนย์ เน้นการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงา�?ช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่ผู้ให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจรตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าที่หลากหลาย ซึ่งเทรนด์พลังงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็�?และทิศทางพลังงานโลกมุ่งสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น�?วีรพัฒน์ กล่า�?/p> ส่วนสน�?อยู่ระหว่างการจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไท�?หรือ แผ�?PDP ฉบับใหม่ เน้นการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากกว่�?50% ก๊าซธรรมชาติประมาณ 30-40% เป็นต้น เพื่อให้ไทยบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในป�?�?�? 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emission) ภายในป�?�?�?2065 อย่างไรก็ตามการจัดทำแผ�?PDP ยังคงคำนึงถึงหลักการสำคัญใ�?3 ด้าน คื�?1. ความมั่นคงทางพลังงาน 2. ราคาพลังงานที่เข้าถึงได�?แล�?3. ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อ�?ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนด้านพลังงา�?และสามารถมีพลังงานใช้ได้ตลอดไป

ด้าน ชาญณรงค์ จันทมงคล ผู้อำนวยการเขื่อนศรีนครินทร์ กล่าวว่า ในพื้นที่เขื่อนศรีนครินทร์ กฟ�? มีแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานสำหรับทุกคนที่อยากเข้ามาเรียนรู้มากมา�?อาทิ ศูนย์การเรียนรู�?กฟ�? เขื่อนศรีนครินทร์ (ราชานุรักษ�? ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุ�?โด�?กฟ�? มุ่งมั่นถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงานไฟฟ้าที่คำนึงถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อมมากว่าครึ่งศตวรรษ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานของประเทศไทยและของโลก มอบให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไ�?เพื่อร่วมสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาด้านพลังงานผ่านศูนย์การเรียนรู�?อีกทั้งบ้านครินทร์ (KARIN) ซึ่งเป็นต้นแบบนวัตกรรมบ้านประหยัดพลังงา�?โดยออกแบบตามหลักเกณฑ์บ้านเบอร์ 5 จำลองรูปแบบการใช้ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทิศทางพลังงานสะอาดในอนาคต 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. จำลองโมเดลบ้านในพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบไฟฟ้าหลั�?แต่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองจากโซลาร์เซลล์ 2. จำลองโมเดลบ้านที่มีเป้าหมายให้บิลค่าไฟฟ้าเป็�?0 บา�?ติดตั้งโซลาร์เซลล์ครอบคลุมความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านตลอดทั้งวั�?และมีการติดตั้งระบบรองรับเทคโนโลยีการจ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้�?(V2G) ได้อีกด้วย แล�?3. จำลองโมเดลบ้านสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการเป็นทั้งผู้ผลิตไฟฟ้�?ผู้ใช้ไฟฟ้�?และบริหารจัดการพลังงานเอง โดยติดตั้งโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี�?และระบบบริหารจัดการพลังงาน เพื่อเตรียมรองรับการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ใช้ไฟฟ้าด้วยกันเอง ในอนาค�?/p>
“นอกจากนี้ยังมียังมีโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ เขื่อนศรีนครินทร์ โดยโรงไฟฟ้าพลังงานน้�?เครื่องที�?4 แล�?5 นั้นเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับหรือระบบกักเก็บพลังงานด้วยพลังน้ำขนาดใหญ�?(Energy Storage System: ESS) นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพื่อลดความไม่แน่นอ�?และไม่เสถียรในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได�?จากความสำเร็จของโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร กฟ�? จึงวางแผนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ ขนาดกำลังผลิตรวม 720 เมกะวัตต์ ซึ่งจะถูกบรรจุในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไท�?�?�?2561-2580�?ชาญณรงค์ กล่า�?/p>
เขื่อนศรีนครินทร์ นอกจากจะเป็นแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนและแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญแล้�?ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 1 ล้านคนต่อป�?แล�?กฟ�? ได้มุ่งพัฒนาให้เขื่อนศรีนครินทร์ได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม และทำงานด้วยความโปร่งใ�?เพื่อเสถียรภาพของพลังงานและราคาที่สมเหตุสมผ�?ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากการระบายน้ำผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และระบายมวลน้ำให้ตรงกับช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการใช้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาที่มีการใช้ไฟน้อยลง จะทำการสูบน้ำกลับเพื่อรักษาสมดุลของเขื่อ�?/p> โด�?กฟ�? ได้รายงานผลการระบายน้ำผ่านทางเว็บไซต์ที่ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได�?และบ้านครินทร์ (KARIN) ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นต้นแบบบ้านที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างแสงอาทิตย์เป็นหลั�?นอกจากนี�?กฟ�? ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ที่กำลังพัฒน�?เพื่อนำพาประเทศไทยก้าวเข้าสู่การใช้พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตThe post สน�? เยี่ย��ชมกฟผ.@ เขื่อนศรีนครินทร์ โชว์พลังงานสะอาด 3 แห่ง ผลักดันไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ first appeared on Green Network.

Green Report | Green Network

Green Network — Thu, 28 Mar 2024 03:02:55 +0000

ปฏิเสธไม่ได้��่าในปัจจุบันการสร้างความยั่งยืนเป็นประเด็นที่ภาคเอกชน ตื่นตัวและให้ความสำคัญมากขึ้�?แต่ในขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนผ่านเกณฑ์ของฉลากสิ่งแวดล้อม ก็ยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากหลายสาเหต�?อาทิ การสร้างการรับรู้ที่ยังไม่ทั่วถึ�?การสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของฉลากสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอ รวมถึงข้อเสนอหรือแรงจูงใจในการสนับสนุนการใช้ฉลากสิ่งแวดล้อมยังไม่เอื้ออำนวยต่อภาคเอกชนเท่าที่คว�?ดังนั้�?สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อม ที่น่าเชื่อถือและพึ่งพาได�?พร้อมขับเคลื่อนนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก สู่การปฏิบัติร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังค�?ด้วยหลัก ธรรมาภิบาล จึงเดินหน้าเปิดเวทีเสวนา ในหัวข้อ “มารักษ์กั�?เพื่อการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนด้ว�?ฉลากเขียว�?โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนชั้นนำ อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมบัญชีกลาง กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากา�?การไฟฟ้าส่วนภูมิภา�?ผู้ประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้า�?ผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านและที่อยู่อาศัย ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้สำนักงา�?ผลิตภัณฑ์กระดา�?และผลิตภัณฑ์ยานยนต�?มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงประเด็�?“ฉลากสิ่งแวดล้อมกับการส่งเสริมธุรกิจ ทิศทางการผลิตที่ยั่งยื�?(Sustainable Production) และการบริโภคที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption)�?ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติเพื่อที่จะพัฒนาการผลิตที่สะอาดและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุ�?นำไปสู่การรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไ�?/strong>

ดร.วิจารย�?สิมาฉายา และด�?ฉัตรตร�?ภูรั�?/figcaption>

ดร.วิจารย�?สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไท�?/strong> กล่าวว่า ประเด็นปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากา�?เป็นเรื่องที่หล��ยฝ่ายกังวลและต่างผนึกกำลังร่วมมือเพื่อหาทางรับมื�?โดยประเทศไท�?ได้กำหนดเป้าหมายไว้สามระย�?คื�?ระยะที่หนึ่ง ปี 2030 (�?�?2573) ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกล�?40% หากได้รับความช่วยเหลือทางการเงิ�?และเทคโนโลยี ระยะที่สอง เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอ�?หรือ Carbon Neutrality ในปี 2050 (�?�?2593) และระยะที่สา�?เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2065 (�?�?2608) หลังเข้าร่ว�?COP26 ได้ประกาศเป้าหมายสำคัญคือประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอ�?(Carbon Neutrality) ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในป�?2065 ส่วนเรื่องการลดอุณหภูมิประเทศไทยอยู่ในทิศทางที่จะลดลงมาอยู่ระหว่า�?1.6-1.7 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย ในขณะเดียวกันการรณรงค์ให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่การผลิตจนถึงการบริโภคในรูปแบบยั่งยื�?ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายภาคส่วนตื่นตัวและให้ความสำคั�?โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยในฐานะองค์กรชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อม จึงเดินหน้าร่วมขับเคลื่อนนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว สู่การปฏิบัติร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังค�?ด้วยการเปิดเวทีเสวนาในครั้งนี้

“การแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือสภาพภูมิอากาศไม่ใช่หน้าที่หลักของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่ประชากรของโลกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่ว�?ในฐานะสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มีหน้าที่เผยแพร่ชุดข้อมู�?สร้างการตระหนักรู้ โดยเฉพาะ “ฉลากเขียวและฉลากสิ่งแวดล้อม�?ให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาช�?ในการทำความเข้าใ�?ให้รับรู้ถึงความหมายที่แท้จริง เพื่อผลดีของการเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าและบริการที่มีฉลากเขียวกำกับ�?/p>
ด้าน ดร.ฉัตรตร�?ภูรั�?/strong> ผู้อำนวยการฝ่ายฉลากเขียวและฉลากสิ่งแวดล้อม สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นที่จะต้องทำควบคู่ไปกับการป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อ�?ดังนั้นฉลากเขียว ฉลากที่ออกให้กับผลิตภัณฑ�?ซึ่งได้ผ่านการประเมินและตรวจสอบว่าได้มาตรฐานทางด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อ�?จึงเป็นเสมือนเครื่องมือที่ช่วยป้องกันรักษาธรรมชาติผ่านทางการผลิตและการบริโภค สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยจึงสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่�?ปลอดภั�?และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอนามัยของผู้ผลิตและผู้บริโภค พร้อมทั้งยังเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเขียว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว และเกิดผลลัพธ์คือความยั่งยืนในทุกมิต�?/p>

“การจัดงานมารักษ์กัน เพื่อการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนด้วยฉลากเขียว ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเป็นอีกเรื่องที่ท้าทายไม่น้อ�?หากเราจะร่วมกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและตรงจุ�?ควรเริ่มที่การผลิตและการบริโภค เบื้องต้นเราอาจจะต้องถ่ายทอดความรู�?ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ เพื่อชี้ให้เห็นข้อดีของการผลิตสินค้าและบริการที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อ�?อาจสำรวจกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ และชักจูงให้ผู้ประกอบการผลิตและขอการรับรองฉลากเขียว ในขณะเดียวกันภาครั�?ก็ได้มีพื้นที่แสดงนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรั�?ซึ่งถือเป็นมาตรการเชิงรุกที่สำคัญเพื่อให้เกิดตลาดผลิตภัณฑ์สีเขียว ด้วยการกระตุ้นให้ผู้ผลิตหันมาใส่ใจผลิตผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อ�?และยังเร่งให้เกิดการแข่งขันในการปรับปรุงคุณภาพสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและส่งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแก่ผู้ผลิตเองในระยะยาว�?/p>
ทั้งนี�?ในส่วนของผู้บริโภค การสร้างความตระหนักรู้ และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเขียว ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งควรให้มีสื่อการสอนในชั้นเรียนมากขึ้�?ทั้งในเรื่องของการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่จะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อ�?เราควรปลูกฝังให้เด็กยุคดิจิทัลให้มีความเข้าใจอย่างแท้จริ�?ในขณะที่ภาครัฐควรมีข้อบังคับอย่างจริงจังในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อ�?กำหนดเป้�?หรือกลุ่มสินค้าและบริการให้ชัดเจน ดร.วิจารย�?สิมาฉายา กล่าวทิ้งท้า�?/p>
อย่างไรก็ด�?การคาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อ�?สภาพภูมิอากา�?อาจต้องใช้เวล�?แต่ขณะนี้ทั่วโลกเริ่มตระหนักกันมากขึ้นแล้�?ทั้งการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไ��ฟ้าแทนรถยนต์สันดา�?เราแค่ต้องสื่อให้ทุกคนได้รับรู้ว่�?การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้เพียงคนเดียว หรือองค์กรเดียว ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นหากทุกฝ่ายร่วมมือกั�?เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งแต่เป็นเรื่องของคนทุกค�?/strong>
The post “สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย�?ตอกย้ำองค์กรชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อ�?เดินหน้าจัดงา�?“มารักษ์กั�?เพื่อการผล��ตและการบริโภคที่ยั่งยืนด้วยฉลากเขียว�?ชวนผู้ประกอบกา�?สร้างความยั่งยืนให้ภาคธุรกิจ first appeared on Green Network.

Green Report | Green Network

Green Network — Thu, 22 Feb 2024 07:30:16 +0000

เมื่อเร็วๆ นี้�?สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สู�?(องค์การมหาชน) หรือ สวพส. จัดงาน �?strong>วันถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนเรียนรู�?เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจ�?ลดการเผา และฝุ่นละออง PM 2.5 แบบบูรณ��การและมุ่งเป้า�?/strong> �?บ้านแม่วาก ตำ��ลแม่นาจ�?อำเภอแม่แจ่�?จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับเกียรติจา�?ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ�?เป็นประธานในพิธีเปิ�?เพื่อร่วมบูรณาการแก้ปัญหาการเผาในพื้นที่การทำเกษตรอย่างครบวงจรและยั่งยืน ด้วยการจัดทำแผนที่การใช้ประโยชน์รายแปล�?กำหนดเขตพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร พื้นที่ทำกิน พร้อมกับการปรับระบบเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อ�?โดยปลูกพืชผักในโรงเรือนซึ่งใช้พื้นที่น้อยสร้างรายได้สูง

เบญจพ�?ชาครานนท�?/span> ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ�?/strong> กล่าวเปิดงานว่�?กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายสำคัญในการสร้างรายได้ สร้างโอกาส และสร้างคุณภาพชีวิ�?ทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อ�?โดยเฉพาะปัญหาเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5   ทั้งนี้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ถือเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาพื้นที่สู�?ป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออ�?PM 2.5 ในภาคการเกษตรโดยประยุกต์ใช้องค์ความรู้จากโครงการหลว�?และจากผลงานวิจัยในการปรับระบบเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อ�?เพื่อสร้างรายได้และยังช่วยลดการเผาในพื้นที่เกษตร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดฝุ่�?PM 2.5 ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่าง�?โดยการบริหารจัด��ารฐานข้อมู�?การพัฒนาแหล่งน้ำ การจัดการเศษวัสดุการเกษตรเพื่อนำไปทำปุ๋ยปรับปรุงบำรุงดิน และชีวมว�?ตลอดจนการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย (GAP PM 2.5 Free) การตลาดและโลจิสติกส์ อย่างเป็นระบบครบวงจร ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

เพชรด�?อยู่สุ�?/span> รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สู�?(สวพส.) กล่าวว่า สวพส. ได้ดำเนิน�?�?strong>โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง�?มุ่งเน้นการดำเนินงานแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนตามบริบทเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่า�?�?ทั้งด้านเศรษฐกิ�?สังค�?สิ่งแวดล้อ�?ตลอดจนสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็�?การประยุกต์ใช้องค์ความรู้จากผลงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการพัฒนา โดยเฉพาะ “การปรับระบบเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม�?/strong> ส่งเสริมและพัฒนาการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดเดิ�?และเพิ่มชนิดพืชทดแทนการปลูกข้าวโพด เช่�?พืชผัก ไม้ผลยืนต้�?เงา�?ส้มโ�?มะม่วง อะโวคาโด รวมถึงการพัฒนาอาชีพบนฐานความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่�?โดยนำผลการวิจัยที่สำเร็จแล้วถ่ายทอดสู่เกษตรกร เช่�?การส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเหลื่อมด้วยพืชตระกูลถั่�?เพื่อลดการเผาและเพิ่มธาตุอาหารในดิน ส่งเสริมการปลูกพืชทางเลือกใหม่ที่ให้ผลตอบแทนเร็�?ใช้พื้นที่จำกั�?ใช้ปริมาณน้ำน้อย ซึ่งมีชุมชนหรือพื้นที่ต้นแบบที่ประสบผลสำเร็�?(Good Practice) ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและนานาชาต�?/p> จากผลการดำเนินงานที่ผ่านม�?ก่อให้เกิดผลสำเร็จและประโยชน์ในด้านต่าง �?แก่ชุมชนบนพื้นที่สูงจำนวนมาก จึงได้นำผลสำเร็จจากพื้นที่ต้นแบบบ้านแม่วา�?มาขยายผลไปยังชุมชนบนพื้นที่สูงอื่น �?ภายใต้ความร่วมมือของ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือสว�? ชุมชนและหน่วยงานทุกภาคส่วน ควบคู่กับการประยุกต์ใช้งานวิจั�?เทคโนโลยี และนวัตกรร�?ให้สอดคล้องกับปัญหาและบริบทภูมิสังคมของแต่ละพื้นที�?นำไปสู่การลดปัญหาและบริหารจัดการจุดความร้อ�?(Hotspot) และพื้นที่เผาไหม้ (Burn Scar) ในพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งกำเนิดของฝุ่นละออ�?PM 2.5 ในพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วนภาคเหนือตอนบนโดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่แจ่�?ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ

เพชรดา�?กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี�?มีผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ�?คณะผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร เจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สู�?คณะทำงานบริหารจัดการดิ�?น้�?ป่�?เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาพื้นที่อำ��ภอแม่แจ่�?ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อ�?เกษตรกรในพื้นที่อำเภอแม่แจ่�?กลุ่มเกษตรกรเครือข่าย และประชาชนทั่วไป โดยมีกิจกรรมฐานเรียนรู�?6 ฐา�?ประกอบด้วย 1.การจัดทำและบริหารจัดการฐานข้อมูลนิทรรศการแสดงผลสำเร็จของงานวิจัยและงานพัฒนาที่สำคั�?ทั้งในเชิงพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง และในแต่ละมิติของการพัฒนา�?2.สร้างป่าสร้างรายได�?ไม้เศรษฐกิ�?ไม้ผ�?ไม้ยืนต้�?กาแฟ   3.การจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร (อัดก้อ�?ชีวมวล อาหารสัตว์) 4. การจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร (ไถกล�?คันปุ๋�?ปุ๋ยหมัก) 5.พืชไร่ในระบบท��่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม�?แล�?6.ผักอินทรีย์ในโรงเรือน + Eco Brand

The post สวพส.บูรณาการถ่ายทอดองค์ความรู้ �?บ้านแม่วาก �?เชียงใหม่ มุ่งแก้ไขป��ญหาความยากจ�?ลดการเผา ต้นเหตุฝุ่�?PM 2.5 first appeared on Green Network.

Green Report | Green Network

Green Network — Wed, 24 Jan 2024 02:35:33 +0000

ในขณะที่ PM2.5 ปกคลุมโล�?ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขภาวะ ที่คุกคามต่อการเกิดโรคต่าง�?รวมถึงความเสี่ยงกระดูกพรุนจากภาวะอักเสบทั่วร่างกา�?ที่ค้นพบจากการวิจัยในหนูทดลอ�?โด�?หน่วยวิจัยด้านแคลเซียมและกระดู�?(COCAB – Center of Calcium and Bone Research) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งประกอบไปด้วยนักวิจัยคุณภาพจากภาควิชาสรีรวิทย�?ที่ร่วมศึกษาวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยห่างไกลโรคกระดูกพรุนกันมาอย่างจริงจัง ต่อเนื่อ�?และยาวนา�?/strong>

ศาสตราจารย�?ดร. นายแพทย์นรัตถพ�?เจริญพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าหน่วยวิจั�?COCAB

ศาสตราจารย�?ดร. นายแพทย์นรัตถพ�?เจริญพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าหน่วยวิจั�?COCAB ร่วมกั�?ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ณัฐพ�?ภาณุพินธ�?/strong> หัวหน้าหน่วยสัตว์ทดลอง งานวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาวิจัยจนค้นพบว่า PM2.5 เสี่ยงกระดูกพรุน�?จากภาวะอักเสบในหนูทดลอง ภายใต้ข้อสันนิษฐานถึงกลไกการเกิดโรคกระดูกพรุนจากการเสื่อมสลายของมวลกระดู�?มีสาเหตุสำคัญจากการอักเสบ เนื่องจากเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันต้องต่อสู้กับฝุ่น PM2.5 ที่รับเข้ามาทางปอดและกระจายไปทั่วร่างกา�?ได้เร่งให้เกิดกระบวนการอักเสบดังกล่าว จากการติดตามในหนูทดลองที่ได้รับฝุ่�?PM2.5 พบการเพิ่มจำนวนขึ้นของเซลล์สลายกระดูก ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีต้นกำเนิดจากเม็ดเลือดขาวบางชนิด มีส่วนสำคัญที่ทำให้มวลกระดูกลดลงอย่างต่อเนื่อ�?เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ณัฐพ�?ภาณุพินธ�?หัวหน้าหน่วยสัตว์ทดลอง งานวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ฝุ่น PM2.5 ที่กำลังคุกคามสุขภาวะมนุษย์มีองค์ประกอบที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ทั้งในเขตเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น และพื้นที่โล่งที่มีการเผา ตัวฝุ่นอาจประกอบด้วยอนุภาคของสารเคมีหลากหลายชนิ�?ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้ว�?ฝุ่น PM2.5 ไม่เพียงเข้าสู่ร่างกายทางปอ�?แต่ยังสามารถผ่านเข้าทางผิวหนั�?และทางเดินอาหารได�?องค์ประกอบหลายชนิดในฝุ่นยังอาจทำให้โรคเรื้อรังอื่นๆ เช่�?โรคปอด โรคทางเมแทบอลิซึม รุนแรงมากยิ่งขึ้�?/p>
การค้นพบอันตรายของฝุ่น PM2.5 ต่อกระดูกอยู่ระหว่างการเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ เพื่อขยายผลต่อยอดสู่การค้นหาแนวทางป้องกันและรักษา เพื่อลดความเสี่ยงกระดูกพรุ�?และอาการอักเสบรุนแรง จากวิกฤต PM2.5 ที่โลกกำลังเผชิญ เพื่อเพิ่มการเฝ้าระวังต่อไ�?/p>The post นักวิจัย �?มหิด�?ค้นพบฝุ่�?PM2.5 เสี่ยงกระดูกพรุ��จากภาวะอักเสบในหนูทดลอง first appeared on Green Network.

Green Report | Green Network

Green Network — Wed, 06 Dec 2023 07:41:27 +0000

Mr. TSE Chin-wan, Secretary for Environment and Ecology, the government of the Hong Kong Special Administrative Region government Secretariat ประธานพิธีเปิดร่วมกับองค์กรสนับสนุน

เดือนตุลาคมที่ผ่านม�?ทางกองบรรณาธิการได้รับเชิญไปร่วมงาน Eco Expo Asia 2023 �?เขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกง เป็นงานนิทรรศการและการประชุมนานาชาต�?ที่จัดขึ้นโด�?the Hong Kong Trade Development Council (HKTDC) แล�? Messe Frankfurt (HK) Ltd ร่วม co-organised กั�?the Environment and Ecology Bureau of the Hong Kong Special Administrative Region (HKSAR) ในงานนี้ นอกเหนือจากการเข้าชมงาน Expo ที�?AsiaWorld-Expo ระหว่างวันที�?26 ถึ�?29 ตุลาคม ผู้แสดงสินค้าอุตสาหกรร�?และผู้ซื้อจากทั่วโลกสามารถเข้าชมและติดต่องานผ่า�?Click2Match platform ระหว่างวันที�?19 ตุลาคม ถึ�?6 พฤศจิกาย�?2566 เป็นวิธีการ the EXHIBITION+ hybrid model ที่ทาง HKTDC ได้พัฒนาขึ้น

Ms. Sophia Chong, Acting Executive Director, HKTDC กล่าวรายงานการจัดงาน Eco Expo Asia 2023

Theme ของงานปีนี�?“Taking the Leap towards Carbon Neutrality�?/strong> มีผู้ร่วมแสดงนิทรรศการประมาณ 300 รา�?จา�?12 ประเทศ และเขตเศรษฐกิ�?The Guandong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่งาน Expo นี�?/p>
มอบของที่ระลึกจา�?Green Network ให้ประธานในพิธีเปิ�?Mr. TSE Chin-wan

Macao Pavilion แล�?Zhongshan Pavilion ได้แสดงเทคโนโลยีด้าน IoT, อุปกรณ์จัดการด้ว�?AI, เทคโนโลยีบำบั��อากาศ

Japan Pavilion แล�?Canada Pavilion นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ�?Japan Pavilion นำเสนอระบบการขนส่งรูปแบบพลังงานใหม่ วัสดุเส้นใยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ�?เทคโนโลยีเส้นใยย่อยสลา�?Canada Pavilion นำเสนอการกำจัดน้ำเสี�?และกำจัดกลิ่�?/p>
ประธานกลุ่�?HKSTU พาชมธุรกิจ Startup 10 กิจการ ที่มีผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ�?/figcaption>

พื้นที�?9 Zone ตามกระแสโลกในงาน Expo ครอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี�?(ที่เกี่ยวข้อ�?

Green Transportation Zone แสดงยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ�?สถานีชาร์จ (ปะจุ)ไฟฟ้า�?Wisdom Motor (HK) Limited นำรถบรรทุกและรถโดยสา�?(truck & bus) ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี�?BEV) หรือเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen FCEV) มาร่วมแสดงในงา�? Huawei International Co. Limited แสดงสถานีชาร์ตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเร็วได้ภายใ�?10 นาที Jinjiang International (Hong Kong) แสดงวิธีการยืดอายุการใช้งานแบ��เตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

รถขนขยะพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน Wisdom Motors (HK) Limited

Waste Management and Circular Economy Zone มีแนวคิดไม่เพียงแต่เป็นการcircular economy การนำกลับมาใช้ใหม่ แนวคิดการผลิตสินค้าให้มีความคงทนใช้ได้นา�?(more durable products) ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ลดการใช้ทรัพยากร ลดการเกิดของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการการผลิ�?บริษัทที่มาแสดงใ�?Zone นี้ประกอบด้ว�?strong> Canvest Environmental Protection Group Company Limited, China Everbright Environment Group Limited แล�?Kum Shing E&M limited แสดงผลงานโครงการ waste-to-energy projects; while Baguio Green Group Limited แล�?Pair Environment Protection Company Limited จา�?Taiwan แสดงผลงานถังขยะอัจฉริย�?ช่วยการจัดเก็บมาเข้าสู่กระบวนการrecycle NAGU Environment Technology จากสหรัฐอเมริกาเสนอขบวนการจัดเก็บจัดเก็บเศษอาหา�?ที่สามารถแปลงเศษอาหารในครัวเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้โดยง่า�?/p>
Startup Zone ได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของอุตสาหกรร�?นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุดด้านสิ่งแวดล้อ�?weplastic ร่วมกั�?strong> with tide แล�?Swiss

Dr. Barry Lee, President, The Hong Kong Institution of Engineers

University of Applied Sciencesได้พัฒนาวิธีการนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้เศษวัสดุพลาสติกกลายเป็นวัตถุดิบที่มีค่�?strong> Meat The Next Co., Ltd นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาจากพื�?ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อ�?เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส (Lactose intolerance) เป็นผลจากเทคโนโลยีอาหา�?/p>
Hong Kong Science Park Zone มีบริษัทท้องถิ่น 10 บริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีล่าสุดที่ดูแลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ�?ได้มาร่วมนำเสนอผลง��นเพื่อหาเครือข่ายพันธมิตรในการมุ่งสู่สังค�?Carbon Neutrality

Public Day เปิดให้สาธารณชนทั่วไปเข้าร่วมงาน วันสุดท้ายของงาน Eco Expo Asia 29 ตุลาคม เพื่อให้เกิดพลังการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่ว�?ได้แก่ ภาครัฐ ภาคธุรกิ�?และภาคประชาช�?สาธารณชนทั่วไปเข้าร่วมงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่า�?เปิดโอกาสผู้เข้าชมได้พบและเรียนรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อ�?รวมทั้งการมีโอกาสเข้าร่วมสัมนาและเวิร์คช็อ�?กิจกรรมเด่�?�?อาทิ The Application of smart technology in environmental enforcement, An Earth Imperilled By Climate Change, Future Green Leaders.

มีกิจกรรมให้เยาวชนเรียนรู้วิชาชีพทางด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสำนึกในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมหลากหลา�?/p>

About HKTDC

The Hong Kong Trade Development Council (HKTDC) is a statutory body established in 1966 to promote, assist and develop Hong Kong’s trade. With 50 offices globally, including 13 in Mainland China, the HKTDC promotes Hong Kong as a two-way global investment and business hub. The HKTDC organises international exhibitions, conferences, and business missions to create business opportunities for companies, particularly small and medium-sized enterprises (SMEs), in the mainland and international markets. The HKTDC also provides up-to-date market insights and product information via research reports and digital news channels. For more information, please visit: www.hktdc.com/aboutus.

Background information on Messe Frankfurt
The Messe Frankfurt Group is one of the world’s leading trade fair, congress and event organisers with their own exhibition grounds. With a workforce of some 2,160 people at its headquarters in Frankfurt am Main and in 28 subsidiaries, it organises events around the world. Group sales in financial year 2022 were around �?54 million. The wide range of services includes renting exhibition grounds, trade fair construction and marketing, personnel and food services. Sustainability is a central pillar of our corporate strategy. Here, we strike a healthy balance between ecological and economic interests, social responsibility and diversity.
For more information, please visit our website at: www.messefrankfurt.com/sustainability.
The post Eco Expo Asia 2023 มุ่งสู�?Carbon Neutrality first appeared on Green Network.

Green Report | Green Network

Green Network — Fri, 17 Nov 2023 09:36:33 +0000

นักวิจัยศูนย์แผ่นดินไหวแห่งชาติชี้ธรณีพิโรธเมียนมาสะเทือนถึงไทย ภาคเหนือจรดกทม. ต้องวางแผนรับมือระยะยาวหาแนวทางรับมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้ได้มาตรฐานการออกแบบที่รองรับแผ่นดินไห�?และเสริมกำลังอาคารเก่�?พร้อมติดตั้งอุปกรณ์วัดการสั่นสะเทือนเพิ่มเติมใ�?รพ.สังกัด กท�? เพื่อศึกษาผลกระทบ ประเมินส��าพความปลอดภัยของอาคาร และเป็นต้นแบบให้อาคารอื่�?/strong>

�? ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.4 ลึ�?9 กม. ใกล้เมืองเชียงตุ�?ประเทศเมียนมา ห่างจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือขอ�?�?แม่สาย �?เชียงรา�?ประมาณ 100 กม. เมื่อเวลาประมา�?8.37 �? ของวันที�?17 พฤศจิกาย�?2566 ที่ผ่านม�?�? ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาต�?/strong> กล่าวว่า ทีมวิจัยได้ติดตั้งอุปกรณ์วัดการสั่นสะเทือนบนภาคพื้นดินหลายตำแหน่งและในอาคารโรงพยาบาล 2 แห่งทางภาคเหนือ ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังคำนวณแรงและข้อมูลการสั่นสะเทือนของพื้นดินและอาคาร โดยทำงานใกล้ชิดกับกรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าจะ��ีข้อมูลมากขึ้นเรื่อ�?�?โดยคาดว่าผลการวัดการสั่นสะเทือนจ��กเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้อาจจะแรงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มติดตั้งอุปกรณ์มาเมื่อตุลาคม 2565

ขณะที่ รศ. ดร.ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน�?/strong> คณะวิศวกรรมศาสตร�?มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่�?บริเวณใกล้เชียงตุงเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดกลา�?(มากกว่�?5.0) บ่อยครั้�?เช่�?ขนาด 6.8 ในปี 2554 หรือแผ่นดินไหวเชียงตุงขนา�?5.9 เมื่อปี 2565 เนื่องจากมีรอยเลื่อนมีพลังเป็นจำนวนมากอยู่ในบริเวณดังกล่าว ส่วนงานวิจัยแผ่นดินในประเทศไทยนั้นได้ดำเนินการในเชิงพื้นที่เพื่อเตรียมพร้อมให้ประเทศไทยสามารถนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได�?ซึ่งได้ติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนที่โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรา�?พร้อมระบบส่งสัญญาณแจ้งเตือนกับบุคลากรประจำอาคาร เช่�?วิศวกร เจ้าหน้าที่เทคนิ�?เพื่อประเมินสภาพความปลอดภัยของอาคารได้อย่างทันท่วงท�?และหวังว่าจะเป็นอาคารต้นแบบเพื่อให้อาคารอื่นนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวสามารถตรวจวัดการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้อย่างต่อเนื่อ�?โดยเหตุการณ์ล่าสุดตรวจวัดได้พร้อมกันทั้งสองโรงพยาบาล และมีความรุนแรงที่สุดที่เคยตรวจสอบมาแต่ยังมีค่าต่ำกว่าค่าในการออกแบบของอาคา�?โดยระบบสามารถสื่อสารกับวิศวกรประจำอาคารและช่างเทคนิคได้อย่างทันท่วงที ช่วยลดความสับสนในการจัดการด้านการสื่อสารภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวได�?/p>
ค่าความเร่งที่ กท�?

ด้าน �? ดร.นค�?ภู่วโรดม คณะวิศวกรรมศาสตร�?มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร�?/strong> ระบุว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้คนที่อยู่อาคารสูงในกรุงเทพ�?รับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหว ซึ่งทีมวิจัยได้ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดการสั่นสะเทือนของอาคารเนื่องจากแผ่นดินไหว โดยได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สก�?) มาจนถึงสำนักงานการวิจัยแห่งชาต�?(วช.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร�?วิจัยและนวัตกรรมในปัจจุบัน โดยในกรุงเทพ�?ได้ติดตั้งอุปกรณ์ไว้อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ซึ่งมีความสู�?37 ชั้น เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ทำให้การเก็บข้อมูลทราบถึงผลกระทบต่ออาคารสูงในกรุงเทพ�?เพราะการเกิดเหตุแต่ละครั้งจะเกิดการสั่นไห�?สร้างความกังวลต่อความมั่นคงของอาคา�?ประชาชนตื่นตระหนกวิ่งหนีและไม่กล้ากลับไปใช้อาคารเพราะไม่มั่นใจถึงความปลอดภั�?/p>
การทำให้โครงสร้างอาคารแข็งแร�?/figcaption>

“แผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ห่างจากกรุงเทพ�?หลายร้อยกม. แต่ก็สั่งผลให้เกิดการสั่นไหวในหลายอาคารสู�?โดยพบว่าอาคารโยกด้วยความรุนแรงประมาณ 2.3 มิลล�?จี (ค่าความเร่งโน้มถ่วงของโล�? ซึ่งปกติระดับที่คนรู้สึกจะอยู่ที�?1.5 มิลล�?จี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่คนในอาคารสูงจะรับทราบถึงแรงสั่นสะเทือนในครั้งนี้ และแม้แผ่นดินไหวจะเกิดในระยะไกลแต่ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าเป็นเพราะกรุงเทพ�?เป็นแอ่งดินตะกอนขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพจะขยายความรุนแรงได้ 3 เท่าในระดับแผ่นดินไหวที่โครงสร้างอาคารสามารถต้านทานได�?หรือมากกว่�?5 เท่าในระดับต่ำก็จะขยายได้รุนแรงกว่า ดินอ่อนมีลักษณะเฉพาะในภาคกลางและลุ่มแม่น้ำ ทีมวิจัยจึงพัฒนาการออกแบบก่อสร้างให้ได้มาตรฐานการออกแบบที่รองรับแผ่นดินไหวได�?และนำไปปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์กับอาคารสูงที่ก่อสร้างใหม�?ส่วนอาคารเก่ายังมีกำลังสำรองต้านทานแผ่นดินไหวระดับหนึ่�?ซึ่งเป็นปัญหาในระยะยาวที่นักวิจัยและหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมและหาแนวทางเสริมกำลังหรือมาตรการอื่น �?ต่อไ�?ทั้งนี�?คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานครนำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาต�?สิทธิพันธุ�?กำลังวางแผนติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดที่โรงพยาบาลในสังกัด เช่�?โรงพยาบาลกลาง�?�? ดร.นค�?/strong>กล่า�?/p>
�?ดร.อม�?พิมานมาศ

เช่นเดียวกั�?�?ดร.อม�?พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไท�?/strong> ที่กล่าวถึงจุดเกิดแผ่นดินไหวว่ามีแนวรอยเลื่อนเชียงตุงพาดผ่าน จัดเป็นแผ่นดินไหวขนาดปานกลางในระดับตื้นจึงส่งผลกระทบต่อพื้นที่จังหวัดภาคเหนือโดยตรง เนื่องจากอยู่ใกล้กับจุดที่เกิดแผ่นดินไห�?โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก คว��มต้านทา�?ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารต้านแผ่นดินไหว ปี 2564 ซึ่งกำหนดให้อาคารต้องออกแบบต้านแรงแผ่นดินไหวได�?โดยครอบคลุมจังหวัดในภาคเหนือและพื้นที่กรุงเทพ�?รวมทั้งสิ้�?43 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี�?ควรเตรียมความพร้อมรับมือสำหรับแผ่นดินไหวในอนาคตที่อาจจะมีขนาดใหญ่กว่านี้หรือเกิดขึ้นใกล้กว่านี้ มาตรการรับมือแผ่นดินไหวที่ดีที่สุด คื�?การทำให้โครงสร้างอาคารแข็งแร�?เพราะแผ่นดินไหวยังไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได�?โดยการออกแบบและก่อสร้างอาคารใหม่ให้ต้านแผ่นดินไห�?และเสริมกำลังอาคารเก่าให้รองรับแผ่นดินไหวในอนาคตได้

เสริมกำลังอาคารเก่�?/figcaption>
The post แผ่นดินไหวเมียนมาสะเทือนถึงไทยตอนบ�?กท�? ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดเพิ่มเติมใ�?รพ. first appeared on Green Network.

Green Report | Green Network

Green Network — Fri, 10 Nov 2023 06:36:34 +0000

กรุงเทพ�?: ออสเตรเลียและไท�?ผสานความร่วมมือด้านจัดการสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมปศุสัตว์เพื่อลดผลกระท�?และผลักดันสู่อนาคตที่ยั่งยืน ล่าสุดได้จัดสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู�?และเดินหน้าความร่วมมือของทั้งสองประเทศ บูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหวังสร้างอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่เติบโตอย่างยั่งยืนในไทย

สำหรับงานสัมมน�?‘ความยั่งยืนของเนื้อวัวออสเตรเลี�? ความรู้และประสบการณ์เพื่ออุตสาหกรรมเนื้อวัวในประเทศไท�?#8217; ถูกจัดขึ้นเพื่อแบ่งปันมาตรการที่เป็นรูปธรรม ซึ่งได้มีการดำเนินการโดยอุตสาหกรรมเนื้อแดงของออสเ��รเลี�?ทั้งในเชิงกรอบการทำงานเพื่อความยั่งยืนของเนื้อวัวออสเตรเลี�?(Australian Beef Sustainable Framework) และเป้าหมายระยะยาวในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอ�?(Carbon Neutrality) ภายในปีค.�? 2030 โดยได้รับเกียรติจากผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ�?กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ�?สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิ�?และสหกรณ์เข้าร่วมงาน

องค์กรทางการตลาด การวิจัย และการพัฒนาชั้นนำที่มุ่งเน้นให้บริการกับอุตสาหกรรมเนื้อแดงและปศุสัตว์ของออสเตรเลี�?Meat and Livestock Australia (MLA)   ได้นำเสนอนโยบายหลากหลายด้านของอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตเนื้อวัวที่ยั่งยืนของออสเตรเลีย�?ทั้งในเรื่องการดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรร�?และตัวชี้วัดความก้าวหน้าในการดำเนินงาน แม้แนวคิดเรื่อ�?“ความยั่งยืน�?จะสามารถตีความและนำมาปฏิบัติได้หลายแบบ แต่ประสบการณ์ที่แบ่งปันในงานสัมมนาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อนำไปส��่การเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งานจริงในประเทศไท�?ซึ่งทั้งสองประเทศสามารถเรียนรู้และทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเกษตรกรรมที่ยั่งยืน

จาคอ�?เบทรอ�?/span> ผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืนของเนื้อวัวออสเตรเลี�?MLA ได้นำเสนอความสำเร็จของอุตสาหกรรมเนื้อวัวในออสเตรเลียและเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี�?�? 2030 หรือ CN30 ผ่าน การนำเสนอผลงานภายใต้กรอบการทำงานเพื่อความยั่งยืนของเนื้อวัวออสเตรเลี�?(ABSF) ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของอุตสาหกรรมเนื้อวัวในออสเตรเลี�?โดยใช้หลักฐานจากข้อมูลเป็นเกณฑ์การวัดความสัมฤทธิ์ผล ช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถพัฒนาได้อย่างไม่หยุดยั้�?อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่มีต่อลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรร�?/p>
“ในปีค.�? 2017 อุตสาหกรรมเนื้อแดงของออสเตรเลียได้กำหนดเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี�?�? 2030 (CN30) โดยส่งสัญญาณชัดเจนถึงรัฐบา�?ตลาดโล�?และผู้บริโภคว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์กำลังดำเนินมาตรการเชิงรุกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเพิ่มปริมาณผลผลิตในระยะยา�?ทั้งนี�?มาตรการดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมเนื้อแดงก้าวหน้าไปไกลกว่าความคาดหวังของตลาดในเรื่องการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในปัจจุบันและอนาค�?ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตเนื้อแดงเป็นที่ยอมรับในตลาดโล�?นอกจากนี�?นวัตกรรมด้าน CN30 ยังช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ ทั้งในการเพิ่มปริมาณผลผลิตและผลกำไรผ่านตลาดคาร์บอนหรือห่วงโซ่อุปทานระดับพรีเมียม”�?จาคอ�?เบทรอ�?กล่า�?/p>
นอกจากนี�?ยังได้มีการนำเสนอตัวอย่างการทำเกษตรกรรมยั่งยืนในออสเตรเลียของ เจนนี โอ ซัลลิแวน เกษตรกรผู้เลี้ย�?วั�?แล�?แกะจากรัฐวิกตอเรี�?/strong> โดยบอกเล่าประสบการณ์ในการผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันได้มีการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างแหล่งรายได้ ครอบครัวของเจนนีมีส่วนร่วมในโครงการสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนในฟาร์มของพวกเขามากว่า 30 ปี ทำให้เธอเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติในคณะกรรมการเพื่อความยั่งยืนของ ABSF (ABSF Sustainability Steering Group)

สเปนเซอร์ วิทเทกเกอร์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกขอ�?MLA กล่าวถึงภาพรวมเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อวัวออสเตรเลียในประเทศไทยว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นตลาดที่ออสเตรเลียส่งออกเนื้อวัวมากเป็นอันดับที่ 8 พบว่าประเทศไทยมีความต้องการเนื้อแดงคุณภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากมาโดยตลอ�?แม้จะได้รับผลกร��ทบจากโรคระบาดในช่วงที่ผ่านมาก็ตา�?ทั้งนี�?ความต้องการในการนำเข้าเนื้อแดงเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีค.�? 2017 โดยมีปัจจัยจากผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อมีจำนวนมากขึ้�?รวมถึงภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้�?ตลอดเวลาที่ผ่านมา ออสเตรเลียเป็นผู้จำหน่ายเนื้อวัวและเนื้อแกะนำเข้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไท�?คิดเป็นราว 1 ใน 3 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์แช่แข็งทั้งหมด ทั้งนี�?การยกเลิกภาษีและการจำกัดจำนวนการนำเข้าสินค้าตั้งแต่เดือนมกราคม �?�? 2020 ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลี�?(TAFTA) และข้อตกลงระหว่างอาเซียน-ออสเตรเลี�?และนิวซีแลนด�?(AANZFTA) เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมการค้าเนื้อแดงและจะยังคงทำให้การค้าเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

ฯพณฯ ดร.แอนเจล�?แม็คโดนัลด�?/span> เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไท�?กล่าวถึงความสำคัญของเกษตรกรรมที่ยั่งยืนต่อทั้งประเทศออสเตรเลียและประเทศไท�?โดยทั้งสองประเทศมีโอกาสในการเรียนรู้และร่วมมือกันด้านนี้อย่างมา�?โดยภาคเกษตรมีความสำคัญต่อทั้งสองประเทศทั้งในแง่การสร้างงานและการส่งออก รวมทั้งยังมีสภาพภูมิอากาศที่คล้ายคลึงกันเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน ซึ่งสามารถดำเนินงานด้านนี้ร่วมกันได้มากยิ่งขึ้น พร้อมเน้นว่า “เกษตรกรรมที่ยั่งยืนมิใช่การหาวิธีการเพียงวิธีเดียวเพื่อใช้กับทุกปัญหาและทุกบริบท�?ทั้งนี้ยังกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ร่วมกันแสวงหาวิธีการเพื่อความยั่งยื�?/p>
แอมเบอร์ พาร์ ที่ปรึกษ�?ผ่ายเกษตร กล่าวถึงวิธีคิดของออสเตรเลียในการจัดการความยั่งยืนทางการเกษตรว่า�?เกษตรกรได้เผชิญความท้าทายที่จะต้องเน้นทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน รวมทั้งผู้บริโภคก็ต้องตัดสินใจในการบริโภคที่ช่วยผลักดันให้เกิดความยั่งยืนในระยะยา�?ออสเตรเลียได้ดำเนินการสู่ความยั่งยืนผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมในรูปแบบหน่วยวิจัยและพัฒนาของท้องถิ่�?ซึ่ง Meat and Livestock Australia เป็นพันธมิตรที่สำคัญการดำเนินการนี้ตั้งแต่การวิจัย การให้การศึกษา และการเพิ่มขีดความสามาร�?ถือเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญของออสเตรเลียได้มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์กับผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทย�?นอกจากนี้ในระดับนานาชาติ ออสเตรเลียยังตระหนักถึงความสำคัญของวิธีการในการทำเกษตรกรรมยั่งยืนที่ออกแบบตามความต้องการเฉพาะตั�?รวมทั้งยินดีที่จะร่วมมือกับประเทศไทยและนานาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาค�?/p>The post สถานทูตออสเตรเลียร่วมกับ MLA จัดสัมมนาถ่ายทอดองค์ความรู�?เดินหน้าผลักดันอุตฯ เนื้อวัวไทยสู่ความย��่งยืน first appeared on Green Network.

Green Network — Mon, 06 Nov 2023 07:45:02 +0000

เมื่อเร็วๆ นี�?Thoughtworks บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลก ได้จัด งา�?XConf Thailand 2023 ซึ่งเป็นงานด้านเทคโนโลยีประจำปีของ Thoughtworks   โดยปีนี้มีผู้ที่อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ เข้าร่วมงานกว่า 300 คน หนึ่งในหัวข้อที่ถือเป็นไฮไลท์ในการจัดงานครั้งนี้ คือ�?�?strong>Green Software”�?ซึ่งเป็นหนทางสำคัญที่นำไปสู่ความยั่งยืน โด�?ชาคริต ฤทธาคน�?/span> ผู้จัดการด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต�?Thoughtworks เป็นผู้ให้ข้อมู�?span id="more-30893">

ชาคริต ฤทธาคนี�?ให้นิยามขอ�?Green Software ว่าเป็นหลักการในการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบใหม่ที่มีเป้าหมายที่จะทำให้ซอฟต์แวร์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยล�?หลักการนี้ได้มีการค้นคว้าวิจัยโดยองค์กรไม่แสวงหากำไรภายใต้ชื่อ Green Software Foundation ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมายในโลก เช่�?Microsoft, Intel, Siemens รว��ถึงThoughtworks ด้วย

“เนื่องจากหลักการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้กันอยู่ในอุตสาหกรรมปัจจุบัน มักจะไม่ได้คำนึงถึงเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจ�?หลักการนี้จะช่วยให้นักพัฒนาและบริษัทต่าง�?สามารถเข้าถึงและเข้าใจวิธีการออกแบบระบบซอฟต์แวร์ที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงได้ ซึ่งจะทำให้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมดีขึ้น�?ชาคริต กล่า�?/p>
การที่จะทำให�?Software เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นมีหลายวิธี แต�?Green Software ได้แบ่งออกเป็�?3 วิธีด้วยกั�?เพื่อออกแบบซอฟต์แวร์ให้ใช้คาร์บอนน้อยลง เริ่มจา�?1. Energy Efficient พัฒนาซอฟต์แวร์ให้ใช้พลังงานให้คุ้มค่าขึ้น�?ด้วยวิธีง่าย�?โดยใช้เน็ตเวิร์กน้อยล�?และใช้อัลกอริธึมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้�?ซึ่งสามารถปรับใช้ได้กับซอฟต์แวร์หลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่พัฒนา ถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้วซอฟต์แวร์แต่ละประเภทอาจจะมีจุดคอขวดที่สามารถ Optimize ได้ที่แตกต่างกันไป แต่ทาง Green Software Foundation ได้ให้แนวทางเบื้องต้นที่ใช้ได้ในเกือบทุกระบบไว้ใน Green Software Pattern

Hardware Efficient การใช้ฮาร์ดแวร์ให้คุ้มค่�?ซึ่งเป็นผลโดยตร�?หากเราใช้คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป หรือเซิร์ฟเวอร์ต่าง�?เราควรเลือกใช้เครื่องที่กระบวนการใช้งานตลอด Lifecycle ตั้งแต่ผลิ�?รักษ�?กำจัดทิ้�?ปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด และใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีอายุการใช้งานยาวนา�?/li>
Carbon Aware ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่จะทำให้ซอฟต์แวร์เข้าใจว่าไฟฟ้าที่ใช้งานอยู่มีความสะอาดขนาดไหน แล้วปรับการใช้งานให้ประหยัดขึ้นตามความสะอาดของไฟฟ้าปัจจุบั�?เช่�?ถ้าเรารู้ว่าเว็บของเราเปิดใช้อยู่ในพื้นที่ที่ไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากพลังงานถ่านหิน เราก็อาจจะทำให้เว็บของเราเป็นขาวดำ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในหน้าจ�?แต่ถ้าเว็บเดียวกันถูกเปิดใช้ในพื้นที่ที่มีไฟฟ้าพลังงานลม ก็ใช้สีสันได้เต็มที่ เป็นต้น

ชาคริต กล่าวว่า การสร้างและออกแบ�?Green Software ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจาก Green Software เป็นหลักการที่ใหม่มาก และยังไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่า��กว้างขวาง ความท้าทาย ยิ่งไปกว่านั้นคื�?การที่ทำให้บริษัทตระหนักรู้ถึงผลกระทบของซอฟต์แวร์ต่อภาวะโลกร้อ�?และทำให้นักพัฒนาตระหนักรู้ถึงหลักการ Green Software ให้ได้ก่อน

“การสร้างและออกแบบ Green Softwareอาจจะมีปัญหาทางเทคนิคบ้า�?แต่ส่วนตัวผมไม่ได้เห็นว่าเกินความสามารถของนักพัฒนา ที่สำคัญคือการที่บริษัทจะตระหนักรู้และลงทุนเวลาให้นักพัฒนาเริ่มเรียนรู้เข้าใ�?Green Software และมีเวลาและทุนที่จะนำหลักการนี้ไปใช้ในองค์กรตัวเองได�?ตรงนั้นเป็นความท้าทายที่ผมพบบ่อยกว่าปัญหาทางเทคนิ�?อย่างน้อยก็ในเวลานี้” �?ชาคริต กล่า�?/p> เนื่องจากหลักการพัฒนา Green Software จะทำให้ซอฟต์แวร์มีประสิทธิภาพขึ้นและใช้พลังงานน้อยลงตามธรรมชาต�?ดังนั้นผลพลอยได้ที่สำคัญ คื�?ระบบจะใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์และไฟฟ้าน้อยลง ใช้เท่าที่พอดี และทำให้ต้นทุนในการรันซอฟต์แวร์น้อยลง�?ซึ่งการลดต้นทุนนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จูงใจให้ธุรกิจและผู้ประกอบการหันมาใช้ Green Software
นอกจากการลดต้นทุนแล้ว�?หลาย�?องค์กรก็ต้องเริ่มทำ ESG Report แล้ว และเป็นเรื่องดีที่จะเริ่มศึกษาเรื่อ�?Green Software ในมุมที่ว่าระบบIT ที่ใช้อยู่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด ถ้าศึกษาแล้วพบว่าบางส่วนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อ�?อาจจะไปจัดการในส่วนนั้�?แต่ถ้าวัดออกมาแล้วพบว่าส่วนใหญ่ในองค์กรมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจและผู้ประกอบการควรหันมาใช้ Green Software ซึ่งถึงเวลานั้นหลักการขอ�?Green Software ก็จะช่วยเป็�?Guideline ว่าจะจัดการได้อย่างไ�?/p>
“Green Software เป็นหลักการหนึ่งในการพัฒนาซอฟต์แวร์ อยากให้ลองเปรียบเทียบกับกาแ�?จริง�?กระบวนการผลิตกาแฟมีหลายอย่าง และสุดท้ายก็ได้เม็ดกาแฟเหมือนกัน แต่กระบวนการผลิตที่เน้นความยั่งยืนจะทำให้รสชาติของกาแฟอาจจะต่างไปบ้า�?แต่สุดท้ายผลลัพธ์ยังเป็นกาแ�?Green Software ก็เหมือนกัน เป็นกระบวนการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เน้นความยั่งยืน แต่สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นซอฟต์แวร์เหมือนกัน”�?ชาคริต กล่าวสรุ�?/p>The post Green Software ถึงเวลาที่ซอฟต์แวร์ต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยล�?/a> first appeared on Green Network.

Green Network — Wed, 01 Nov 2023 08:55:47 +0000

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไท�?(กฟ�?) จัดงาน “EGAT ENERGY FORUM 2023�?ภายใต้แนวคิด “Green Smart Energy Solutions: ต่อยอดนวัตกรรม สานพลังเครือข่ายไฟฟ้าสีเขียว�?ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 เพื่อต่อยอดนวัตกรรม สานต่อเครือข่ายพลังงานสีเขียวที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อ�?พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกันระหว่างเครือข่ายอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้�?ทั้งในและต่างประเทศ มุ่งหวังนําเสนอนวัตกรรมพลังงานสีเขียวที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ�?เพื่อเป็นฐานพัฒนาธุรกิจในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและแรงขับเคลื่อนของภาคพลังงานโลกทำให้การขับเคลื่อนแผนพลังงานของประเทศไทยมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เพื่อให้พลังงานที่ใช้อยู่เกิดความคุ้มค่าและยั่งยืน โดยไม่ทำลายระบบสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเรา ในส่วนของกระทรวงพลังงานซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลด้านพลังงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีการกำหนดแนวโรดแมปและนโยบายต่างๆให้สอดรับกับการใช้พลังงานไปพร้อม�?กับการรับผิดชอบต่อสังค�?ซึ่งต้องช่วยกันลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO�? ที่จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจ�?/p> สำหรับทิศทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไท�?ส่วนใหญ่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมา�?370 ล้านตันต่อปี โดยมาจากภาคพลังงานประมาณ 69.96% ภาคการเกษตรประมาณ 15.23% และส่วนอื่นๆอีกประมา�?14.81% ซึ่งโจทย์ใหญ่จากนี้คือจะทำอย่างไรให้ทุกภาคส่วนช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายภาครัฐลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมา�?Carbon Neutrality ในปี �?�? 2593 เพื่อป้องกันปัญหาการกีดกันทางการค้าตามมาตรฐานการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโร�?(EU-CBAM) ซึ่งแบ่งเป็�?2 ระยะ ได้แก่ 1.ระยะเปลี่ยนผ่าน ช่วง 3 ปีแร�?ระหว่างวันที�?1 ตุลาคม �?�?2566 ถึ�?31 ธันวาค�?�?�?2568 ในช่วงนี�?EU จะทำการเก็บข้อมูลราคาคาร์บอน เพื่อดูค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริงในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งในช่วงนี้ผู้นำเข้าสินค้าที่เข้าเกณฑ์ CBAM มายั�?EU จะต้องรายงานข้อมูลต่อทางคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นรายไตรมาส แล�?การบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบ�?ปี �?�? 2569 เป็�?ต้นไ�?นับจากวันที่ 1 มกราคม �?�? 2569 เป็นต้นไป โดยสินค้ากลุ่มแรกที่ต้องปฏิบัติคือ เหล็ก เหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ยและอลูมิเนียม

ดร.ประเสริฐ กล่าวถึงทิศทางและนโยบายพลังงานไทยเพื่อก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงา�?ตามกรอบแผนพลังงานชาต�?(Nation Energy Plan: NEP) ว่�?ทางสำนักงานสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สน�?) กระทรวงพลังงานได้วางกรอบเป้าหมายการทำงานไว้และอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดต่าง�?เช่�?การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่โดยมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่�?50% ปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานไฟฟ้าสีเขียว นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการใช้ไฟฟ้าและปรับโครงสร้างกิจการพลังงานรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอา�?เพื่อเป้าหมา�?1) สนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สุทธิเป็นศูนย์ภายในป�?�?�?2579 2)สร้างศักยภาพการแข่งขันและการลงทุนของผู้ประกอบการของไทยให้สามารถปรับตัวเข้าสู่การลงทุนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำตามทิศทางโล�?ตลอดจนใช้ประโยชน์จากการลงทุนในนวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิ�?และดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานสอดคล้องกับนโยบายการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศในระยะยา�?/p> ในส่วนของความคืบหน้าในการดำเนินนโยบายพลังงานไทยสำหรับภาคการขนส่งเพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อความยั่งยืนทางด้านพลังงานภายในปี �?�?2573 ขณะนี้ทางกระทรวงพลังงานได้ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อ�?ทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้�?การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการทางภาษีและการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้�?เป็นต้น สำหรับยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าจากกรมขนส่งทางบก �?สิ้นปี �?�?2565 ที่ผ่านม�?มีทั้งสิ้น 32,081 คัน�?แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 13,845 คั�?รถจักยานยนต์ ไฟฟ้�?16,468 คั�?และรถไฟฟ้าประเภทอื่น�?1,768 คั�?มีจำนวนผู้ประกอบการร่วมลงนามข้อตกลงร่วมมาตรการและยอดจองรถยนต�?รถจักรยานยนต์ที่ขอรับสิทธิการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) �?วันที่ 10 มกราคม �?�? 2566 รวมทั้งสิ้�?36,993 คั�?และมีจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะในประเทศไทยจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย �?วันที่ 20 กันยาย�?�?�? 2565 จำนวนทั้งสิ้�?869 สถาน�?จำนว�?,572 หัวชาร์จ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคต

ดร.จิราพร ศิริคํ�?/strong> รองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อ�?รักษาการผู้ว่ากา�?การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไท�?(กฟ�?) กล่าวว่า กฟ�? จัดงาน “EGAT ENERGY FORUM�?ครั้งนี้ เป็นครั้งที�?13 ภายใต้แนวคิด “Green Smart Energy Solutions: ต่อยอดนวัตกรรม สานพลังเครือข่ายไฟฟ้าสีเขียว�?เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนนวัตกรรมไฟฟ้าระหว่าง กฟ�? และบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ในภาพรวมต่อประชาชนและประเทศ และเพื่อเตรียมรับมือกับความท้าทายใหม่จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้งการออกแบบติดตั้งแล��โซลูชันต่าง�?แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานสีเขียว สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ช่วยสร้างความมั่นใจทางด้านความยั่งยืนทางด้านพลังงานของประเทศไท�?รวมทั้งความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมหันมาใช้พลังงานสะอาดร่วมกันมากขึ้น

โด�?กฟ�? เป็นผู้ให้บริการพลังงานไฟฟ้าและมุ่งหวังนําเสนอนวัตกรรมพลังงานสีเขียวที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ�?เพื่อเป็นฐานพัฒนาธุรกิจในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าทั้งธุรกิจหลัก คื�?การผลิตไฟฟ้า ธุรกิจเกี่ยวเนื่อ�?เช่�?งานเดินเครื่องและบํารุงรักษาโรงไฟฟ้า ระบบส่�?และวัตถุพลอยได�?รวมถึงธุรกิจใหม่อย่า�?Elex by EGAT แล�?EV Business Solutions ที่กําลังได้รับความสนใจและจะเป็นอนาคตต่อยอดธุรกิจต่อไ�?/p>The post กฟ�? จัดงาน “EGAT ENERGY FORUM 2023�?นําเสนอนวัตกรรมพลังงานสีเขียวที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อ�?/a> first appeared on Green Network.

Rachanon M. — Mon, 04 Sep 2023 04:40:06 +0000

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ�?ผู้ว่าราชการ��รุงเทพมหานคร อนุญาตให้เจ้าหน้าที่กท�? สวมชุดลำลองสุภาพแขนสั้นทำงานได�?ชี้เป็นหนึ่งในวิธีช่วยลดโลกร้อ�?ตามแบบฉบับของประเทศญี่ปุ่�?/strong>

เมื่อวันที่ 2 กันยาย�?2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ�?ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กท�?) กล่าวที่สำนักงานเขตบางคอแหล�?ถึงแนวทางการช่วยลดโลกร้อนของข้าราชกาลกรุงเทพมหานคร โดยมีนโยบายให้สามารถสวมชุดลำลองสุภาพแขนสั้นทำงานได�?อย่างเช่นเสื้อโปโลโดยไม่ต้องใส่สูท ยกเว้นในงานที่ต้องพบปะติดต่อกับต่างประเทศ โดยท่านผู้ว่าให้เหตุผลว่า เนื่องจากไทยเป็นประเทศในกลุ่มที่มีสภาพอากาศค่อนข้างร้อ�?การสวมเสื้อเชิ้ตหรือสูทเป็นสาเหตุให้ข้าราชกาลใช้งานแอร์มากขึ้น นอกจากนี้การสวมเสื้อลำลองหรือเสื้อแขนสั้นยังสามารถช่วยประหยัดในขั้นตอนการซักผ้ารีดผ้าได้อีกด้ว�?ซึ่งทางกทม. ได้เดินเรื่องส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ตอนที่ไปเมืองเมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่�?ผมใส่สูทผูกไทไ�?โดยมีผู้ว่าของเมืองฟุกุโอกะต้อนรับและทำให้ผู้ว่าเขาต้องใส่ตามเรา ต่อมาอีกวันผู้ว่าฯฟุกุโอกะบอกว่าไม่ต้องใส่มานะ เพราะประเทศของเขามีนโยบายช่วยประหยัดพลังงาน เป็นเหตุผลที่ทำให้คนในเมืองส่วนใหญ่สวมเสื้อแขนสั้นและไม่ใส่สูท�?ผู้ว่ากท�? กล่า�?/p>The post กท�? ไฟเขียวเจ้าหน้าที่สวมเสื้อแขนสั้�?ทางเลือกช่วยลดโลกร้อ�?/a> first appeared on Green Network.